ความรวย ความโด่งดังและก็อำนาจ คนที่ครองทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ก็คือราชาโจรสลัด โกล ดี โรเจอร์ เขาเป็นมหาบุรุษผู้ปลุกฝันคนทั้งโลกให้เดินทางออกสู่ทะเล เพื่อตามหาทรัพย์สินล้ำค่าที่มีเพียงแต่ชิ้นเดียวอย่าง ‘วันพีซ’
ONE PIECE เกิดเรื่องราวของ มังกี้ D ลูฟี่ เด็กวัยรุ่นผู้มีคำที่พูดบ่อยจนติดปากว่า “ฉันจะเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย” เขาเองก็ยอดเยี่ยมในผู้ที่ออกสมุทรเพื่อตามหา ONE PIECE อยู่เหมือนกัน ในขณะที่เริ่มเดินทางลูฟี่จะต้องฝ่าฟันขวากหนามเยอะแยะ เผชิญพรรคพวกที่สำคัญ ได้ปะทะกับศัตรูตัวฉกาจ ผ่านการต่อสู้ที่ทำให้เขาแปลงเป็นโจรสลัดผู้หนักแน่น รวมทั้งเวลานี้ลูฟี่เป็นหนึ่งในโจรสลัดที่เขาใกล้มหาทรัพย์สมบัติอย่างวันพีซ ไปอีกก้าวแล้ว
หากว่าหนังโรงของ ONE PIECE จะมีมาถึง 14 ภาคแล้ว แม้กระนั้น THE MOVIE ที่ผู้ประพันธ์อย่าง คุณครูโอดะ เออิจิโระ (Oda Eiichiro) ได้มีส่วนร่วมนั้นก็มีเพียงแต่ 5 ภาคแค่นั้น และก็นี่ก็นับว่าเป็นครั้ง 5 ที่คุณครูโอดะได้มีส่วนร่วมสำหรับการสร้างเดอะมูฟวี่ขึ้นมา
ONE PIECE FILM: RED เล่าถึงเรื่องราวที่พวกกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางได้ล่องเรือมาที่เกาะเอเลเจีย เพื่อดูการแสดงดนตรีของ ‘อุตะ’ นักร้องสาวที่เป็นเพื่อนยุคเด็กของลูฟี่ คุณเป็นบุตรสาวของแชงค์ จักรพัตราธิราชโจรสลัดผู้มีอิทธิพลที่มอบหมวกฟางให้กับลูฟี่ โดยลูฟี่ได้พบว่าสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะเอเลเจีย มีแต่ว่าเรื่องที่ไม่น่าไว้วางใจ พร้อมนั้นในเกาะยังมีโจรสลัดกับนาวิกโยธินอีกเพียบเลยที่พร้อมจะฟาดฟันกันได้ทุกครั้ง ทุกคนมาที่เอเลเจียเพราะเหตุใด และก็ความลับที่อุตะเก็บหลบซ่อนไว้เป็นยังไงแน่ ทั้งสิ้นนี้เป็นเรื่องราวของ ONE PIECE FILM: RED
ทางเรื่องราวนั้น ภาคนี้ก็ได้จับจุดเด่นของเดอะมูฟวี่ภาคที่แล้วอย่าง One Piece: Stampede มาใช้ โน่นเป็นการให้ผู้แสดงเก่า ถูกโยนเข้ามาในเหตุการณ์ที่ไม่สมควรจะเจอะกัน หลังจากนั้นพวกเราก็จะได้มองเห็นผู้แสดงพวกนั้นออกมาแท็กทีมต่อสู้ ซึ่งเป็นแฟนเซอร์วิสที่ไม่ค่อยได้มองเห็นในภาคหลักกันเท่าไร แต่ว่าหากว่า FILM: RED จะถือจุดเด่นนั้นมาใช้ มันก็เป็นไปได้เพียงแค่กระบวนการทำซ้ำรายละเอียดเดิมแม้กระนั้นสลับตัวละครเพียงแค่นั้น แถมหนังยังคงใช้คุณประโยชน์ข้อนี้ได้ไม่คุ้มนัก เนื่องจากว่าด้วยการที่จำต้องแบ่งเครื่องปรับอากาศไทม์ให้อุตะ ทำให้หนังเกลี่ยบทนักแสดงออกมาได้ไม่ดีเอาซะเลย
อีกสิกข์เนพบร์ที่พวกเราเกือบจะจำต้องยกนิ้วให้ เป็นงานภาพของ Toei Animation ที่ยังคงเส้นอาจจะวาในฐานะสตูดิโอที่ไม่สนใจสี่สนแปด กล้าปลดปล่อยงานแอนิเมชันที่ไม่เรียบร้อยออกมาฉายโรง ซึ่งหลายฉากก็เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นงานที่สามารถเรียกได้เลยว่า ‘เผา’ มาฉาย จนกระทั่งแอบสงสัยว่าภาพอย่างงี้ พี่เอ็งกล้าเอามาฉายโรงได้อย่างไร ต่อไปก็มีอีกหลายซีนที่เผามาให้มองเห็นจนกระทั่งอดไม่ได้ที่จะต้องถอนใจแล้วยกนิ้วให้ (ส่วนนิ้วไหนก็ไปคิดกันเอาเองนะ)
หากแม้หนังจะอุดมไปด้วยเพลง แถมลำดับรายละเอียดได้ไม่ดีจนถึงทำให้ครึ่งแรกนั้นน่าเบื่อแบบสุดๆแต่ว่าหนังก็มาแก้ตัวได้ในตอนองค์ในที่สุดของรายละเอียด ซึ่งเป็นฉากแอ็กชันที่ระดมผู้แสดงที่พวกเราแสนนึกถึงออกมาต่อสู้กับบอสในภาคนี้ แถมหนังยังหยอดอีสเตอร์เอ้กที่ทำให้พวกเรานึกถึงซีนเด็ดๆที่เป็นภาพจำในภาคหลักไว้ตลอดทาง ซึ่งฉากแอ็กชันส่วนท้ายเรื่องก็เป็นสิ่งที่แฟนคลับONE PIECE มองเห็นแล้วจะต้องสะดุ้งในความอาจหาญเล่นใหญ่ของคณะทำงานแอนิเมชันอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยรวมแล้ว ONE PIECE FILM: RED เป็นมูฟวี่ที่มีรสชาติแปลกใหม่ ซึ่งอุดมไปด้วยเพลงไพเราะเพราะพริ้งๆที่ชักชวนฟัง ถึงครึ่งแรกจะเดินเรื่องได้ไม่ดี แม้กระนั้นก็พลิกกลับมาด้วยแฟนเซอร์วิสในช่วงท้าย ถึงแม้ข้อสรุปจะเล่นง่ายจนกระทั่งแอบผิดหวัง แม้กระนั้นก็เป็นอีกมูฟวี่ที่บอกเลยว่าช่วงหลัง ‘โคตรตระการตา’